งาช้างดำนี้มีลักษณะเป็นงาปลียาว 94 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนที่ใหญ่ที่สุดได้ 47 เซนติเมตร มีน้ำหนักถึง 18 กิโลกรัม สันนิษฐานว่าเป็นงาช้างข้างซ้ายเพราะปรากฏรอยเสียดสีกับงวงช้างให้เห็นชัดเจน ความเป็นมาของงาช้างดำนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด
มีเพียงตำนานเล่าสืบต่อกันมา 2 เรื่อง
เรื่องที่ 1 กล่าวว่าในสมัยพระเจ้าสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน (พ.ศ.2353-2368) มีพรานคนเมืองน่านได้เข้าป่า
ล่าสัตว์เข้าไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุงได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วยพราน
ทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละข้าง ต่างคนก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุง ได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า ตราบใดงาช้างดำคู่นี้ไม้สูญหาย
เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป
เรื่องที่ 2 กล่าวว่าเมืองน่านยกทัพไปล้อมเมืองเชียงตุงหลายเดือน ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงเดือดร้อนโหรเมืองเชียงตุงทูล
เจ้าเมืองว่าเป็นเพราะมีงาช้างดำอยู่ด้วยกัน ทางที่ดีควรแยกออกจากกัน จึงนำงาช้างดำกิ่งหนึ่งมอบให้กองทัพเมืองน่านแล้วกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรกันตลอดกาล
ความสำคัญของงาช้างดำนี้เชื่อกันว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 6 ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้ทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า ให้งาช้างดำนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป
ผู้ใดจะนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวมิได้ ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนคร
เท่านั้น งาช้างดำเป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านและถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดน่าน เป็นวัตถุโบราณที่หายากและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก
สถานที่เก็บรักษางาช้างดำ
ปัจจุบันงาช้างดำถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เมืองน่านซึ่งได้ดัดแปลงมาจากหอคำเจ้าหลวงเมืองน่าน
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน ตั้งอยู่ภายในคุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองเมืองน่าน แต่เดิมเป็น “หอคำ” ของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ทรงสร้างขึ้นเป็นที่ประทับเมื่อปี พ.ศ.2446 แทนหอคำหลังเก่าซึ่งเป็นอาคารไม้
เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าเมืองน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย เจ้านายบุตรหลานจึงได้มอบอาคารหลังนี้และที่ดินให้แก่รัฐบาลเพื่อใช้เป็นศาลากลางในปี พ.ศ.2474
ต่อมาเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ก่อสร้างศาลากลางขึ้นใหม่ กรมศิลปากรจึงได้รับมอบตัวอาคารหอคำเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเมื่อปี พ.ศ.2517
ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านมีพระราชานุสาวรีย์ของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯประดิษฐานอยู่ ภายในอาคารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกบริเวณห้องโถงกลางซึ่งเคยเป็นท้องพระโรงที่เสด็จออกว่าราชการของเจ้าเมือง จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองน่าน การสร้างเมืองและโบราณสถานที่สำคัญ
เชื้อสายราชวงศ์เจ้าผู้ครองนคร รูปถ่ายโบราณ งานประณีตศิลป์เครื่องใช้ เงินตราและอาวุธโบราณ ส่วนหลังแบ่งเป็น 6 ห้องจัดแสดงเรื่องราวด้านศิลปะและโบราณคดี
เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เริ่มปรากฏหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ในแถบจังหวัดน่าน สมัยประวัติศาสตร์ อิทธิพลของศิลปล้านนาและสุโขทัยที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการทางรูปแบบศิลปสกุลช่างขึ้นในเมืองน่าน
นอกจากนั้นยังจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดจากพื้นที่น้ำท่วมเหนือเขื่อนสิริกิติ์ เครื่องถ้วยโบราณที่พบในเมืองน่าน
ส่วนชั้นล่างจัดแสดงเรื่องราวทางด้านชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยพื้นเมืองเหนือ จำลองลักษณะบ้านเรือน ห้องครัว ห้องนอนและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
การทอผ้าและผ้าทอพื้นเมืองน่านแบบต่าง ๆ ประเพณีและความเชื่อ เช่น การแข่งเรือ การจุดบอกไฟ การสืบชะตา งานสงกรานต์และงานสลากภัต เป็นต้น
อีกด้านหนึ่งจัดแสดงเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่และเครื่องใช้ไม้สอยของชนกลุ่มน้อยในเมืองน่านรวม 5 เผ่า คือ ไทลื้อ แม้ว เย้า ถิ่นและตองเหลือง การจัดแสดงในส่วนนี้ใช้เทคนิควิธีการจัดแสดงโดยใช้
หุ่นจำลองสร้างฉากหลังให้มีความเหมือนจริง
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ศิลปะและชาติพันธุ์ประจำจังหวัดที่น่าไปชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ฯยังได้จัดทำเอกสารเผยแพร่เรื่องราว
ด้านวิชาการ ประวัติศาสตร์ โบราณดคีและชาติพันธุ์วิทยาให้แก่ผู้สนใจอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเปิดให้ชมทุกวันไม่เว้นวันหยุดตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 น.ค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 10 บาท

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น