วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลาวประกาศเปิดให้บริการ4G



ลาวประกาศเปิดให้บริการ4G รับการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ที่เวียงจันทร์ เล็งขยายให้ทั่วประเทศภายในปีหน้า ส่งผลให้เป็นชาติที่ 2 ของอาเซียนที่มี 4G ใช้ ต่อจากสิงคโปร์
(29ต.ค.) เว็บไซต์ laovoices.com รายงานว่า องค์การโทรคมนาคมของประเทศลาว ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา อย่างเป็นทางการว่า ทางการลาวได้เปิดใช้เทคโนโลยี 4G เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรปครั้งที่ 9 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5-6 พฤศจิกายนนี้ที่กรุงเวียงจันทน์
ผู้บริหารการโทรคมนาคมของลาว เปิดเผยว่า ความเร็วของเทคโนโลยี 4G จะถูกนำมาใช้ในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคณะผู้นำ และแขกจากประเทศต่าง ๆ จาก 50 ประเทศ ที่เข้าร่วมมาประชุม อย่างไรก็ตามหลังเสร็จสิ้นการประชุมแล้วก็ยังคงเปิดให้บริการแก่ประชาชนในประเทศ และจะขยายบริการออกสู่ จังหวัดต่าง ๆ ต่อไป
รายงานยังระบุอีกว่า องค์การโทรคมนาคมของลาวได้เซ็นสัญญาทำข้อตกลงกับบริษัทชั้นนำ ในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารของจีน และได้ทำการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ 4G ใน 20 แห่งทั่วกรุงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว โดยพร้อมเปิดให้บริการในเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้ ในส่วนของต่างจังหวัดคาดว่าจะได้ใช้ 4G ภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า จึงถือว่าลาวเป็นประเทศที่ 2 จากชาติอาเซียน 10 ชาติ รองจากสิงคโปร์ที่ได้นำ 4G มาใช้ก่อนหน้านี้


วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รหัสนักศึกษา 13 หลัก และชื่อ-นามสกุลผู้จัดทำบล็อก


รหัสนักศึกษา 13 หลัก และชื่อ-นามสกุลผู้จัดทำบล็อก




  

   5530122113226 จ่าอากาศตรีอุกฤษ แก้วถา

บทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีเว็บ 2.0


ไฮไฟว์ (อังกฤษ: hi5) เป็นเว็บไซต์ในลักษณะเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก มีจำนวนสมาชิกลงทะเบียนใช้งานอยู่กว่า 65 ล้านรายทั่วโลก สมาชิกส่วนใหญ่ใช้ไฮไฟฟ์ในการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเพื่อน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แชร์รูปภาพกันดู ในแต่ละวันจะมีสมาชิกเข้ามาใช้บริการจากทั่วโลกนับล้านราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย




งาช้างดำ(จังหวัดน่าน)

ลักษณะของงาช้างดำ หรือ งาช้างดำคือ
       งาช้างดำนี้มีลักษณะเป็นงาปลียาว 94 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนที่ใหญ่ที่สุดได้ 47 เซนติเมตร มีน้ำหนักถึง 18 กิโลกรัม สันนิษฐานว่าเป็นงาช้างข้างซ้ายเพราะปรากฏรอยเสียดสีกับงวงช้างให้เห็นชัดเจน ความเป็นมาของงาช้างดำนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด
 มีเพียงตำนานเล่าสืบต่อกันมา 2 เรื่อง
      เรื่องที่  1  กล่าวว่าในสมัยพระเจ้าสุมนเทวราช  เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน  (พ.ศ.2353-2368)  มีพรานคนเมืองน่านได้เข้าป่า
ล่าสัตว์เข้าไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุงได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วยพราน
ทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละข้าง ต่างคนก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุง ได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า ตราบใดงาช้างดำคู่นี้ไม้สูญหาย 
เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป

      เรื่องที่ 2 กล่าวว่าเมืองน่านยกทัพไปล้อมเมืองเชียงตุงหลายเดือน ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงเดือดร้อนโหรเมืองเชียงตุงทูล
เจ้าเมืองว่าเป็นเพราะมีงาช้างดำอยู่ด้วยกัน ทางที่ดีควรแยกออกจากกัน  จึงนำงาช้างดำกิ่งหนึ่งมอบให้กองทัพเมืองน่านแล้วกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรกันตลอดกาล
 ความสำคัญของงาช้างดำนี้เชื่อกันว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 6 ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้ทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า  ให้งาช้างดำนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป
ผู้ใดจะนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวมิได้  ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนคร
เท่านั้น งาช้างดำเป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านและถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดน่าน  เป็นวัตถุโบราณที่หายากและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก

    สถานที่เก็บรักษางาช้างดำ
    ปัจจุบันงาช้างดำถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เมืองน่านซึ่งได้ดัดแปลงมาจากหอคำเจ้าหลวงเมืองน่าน
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน ตั้งอยู่ภายในคุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองเมืองน่าน แต่เดิมเป็น “หอคำ” ของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ทรงสร้างขึ้นเป็นที่ประทับเมื่อปี พ.ศ.2446 แทนหอคำหลังเก่าซึ่งเป็นอาคารไม้
เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าเมืองน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย เจ้านายบุตรหลานจึงได้มอบอาคารหลังนี้และที่ดินให้แก่รัฐบาลเพื่อใช้เป็นศาลากลางในปี พ.ศ.2474
ต่อมาเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ก่อสร้างศาลากลางขึ้นใหม่ กรมศิลปากรจึงได้รับมอบตัวอาคารหอคำเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเมื่อปี พ.ศ.2517

     ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านมีพระราชานุสาวรีย์ของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯประดิษฐานอยู่ ภายในอาคารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกบริเวณห้องโถงกลางซึ่งเคยเป็นท้องพระโรงที่เสด็จออกว่าราชการของเจ้าเมือง จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองน่าน การสร้างเมืองและโบราณสถานที่สำคัญ
เชื้อสายราชวงศ์เจ้าผู้ครองนคร รูปถ่ายโบราณ งานประณีตศิลป์เครื่องใช้ เงินตราและอาวุธโบราณ ส่วนหลังแบ่งเป็น 6 ห้องจัดแสดงเรื่องราวด้านศิลปะและโบราณคดี
เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เริ่มปรากฏหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ในแถบจังหวัดน่าน สมัยประวัติศาสตร์ อิทธิพลของศิลปล้านนาและสุโขทัยที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการทางรูปแบบศิลปสกุลช่างขึ้นในเมืองน่าน
 นอกจากนั้นยังจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดจากพื้นที่น้ำท่วมเหนือเขื่อนสิริกิติ์ เครื่องถ้วยโบราณที่พบในเมืองน่าน
ส่วนชั้นล่างจัดแสดงเรื่องราวทางด้านชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยพื้นเมืองเหนือ จำลองลักษณะบ้านเรือน ห้องครัว ห้องนอนและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
การทอผ้าและผ้าทอพื้นเมืองน่านแบบต่าง ๆ ประเพณีและความเชื่อ เช่น การแข่งเรือ การจุดบอกไฟ การสืบชะตา งานสงกรานต์และงานสลากภัต เป็นต้น
       อีกด้านหนึ่งจัดแสดงเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่และเครื่องใช้ไม้สอยของชนกลุ่มน้อยในเมืองน่านรวม 5 เผ่า คือ ไทลื้อ แม้ว เย้า ถิ่นและตองเหลือง การจัดแสดงในส่วนนี้ใช้เทคนิควิธีการจัดแสดงโดยใช้
หุ่นจำลองสร้างฉากหลังให้มีความเหมือนจริง

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ศิลปะและชาติพันธุ์ประจำจังหวัดที่น่าไปชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ฯยังได้จัดทำเอกสารเผยแพร่เรื่องราว
ด้านวิชาการ ประวัติศาสตร์ โบราณดคีและชาติพันธุ์วิทยาให้แก่ผู้สนใจอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเปิดให้ชมทุกวันไม่เว้นวันหยุดตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 น.ค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 10 บาท